เปิดเรื่องต้องรู้เกี่ยวกับ คอนเทนต์ SEO ในมุมมองต่าง ๆ

เปิดเรื่องต้องรู้เกี่ยวกับ คอนเทนต์ SEO ในมุมมองต่าง ๆ

ในตอนนี้แบรนด์ใดก็ต่างนำ SEO ใช้เป็นจุดขายในการเรียกผู้คนเข้าในเว็บ ซึ่งเนื้อหามีความหลากหลาย แต่จะทราบได้อย่างไรว่าคอนเทนต์ประเภทนี้มีคุณภาพจริง ซึ่งไม่เพียงผู้อ่านหรือลูกค้าเท่านั้นเป็นผู้ตัดสินใจ ทางอัลกอริทึมระบบคำนวณของ Google เองก็สามารถตรวจสอบได้เช่นกัน ฉะนั้นกลุ่มคนที่กำลังจะสร้างคอนเทนต์เรียกลูกค้าอย่าพึ่งคิดว่าจะหลอก Google ได้ เพราะมีการดูจากปัจจัยเหล่านี้ 

  • คุณภาพของเนื้อหาสำคัญ หลายคนมักคิดว่าบทความหรือคอนเทนต์ควรมีคีย์เวิร์ดที่ยอดผู้ค้นหาเยอะ ๆ จนไม่ได้ให้ความสำคัญเรื่องนี้ สำหรับ SEO ที่มีคุณภาพคีย์เวิร์ดจะต้องสอดคล้องกับเนื้อหา ซึ่งทาง google นี่แหละจะดูว่ามีความใกล้เคียงกับคำที่ผู้ใช้งานได้ทำการค้นหามากน้อยแค่ไหน 
  • หน้าเว็บไซต์จะต้องมีประสิทธิภาพสูง ระบบประมวลผลต้องไว
  • เนื้อหานอกจากจะต้องมีคุณภาพแล้ว จะต้องไม่นำข้อมูลจากแหล่งอื่นมาใส่ประกอบในเว็บ เพื่อนำเสนอ จะถือว่าเป็นการทำซ้ำ ส่งผลทำให้เว็บไซต์ถูกแบรนด์อีกด้วย

เหล่านี้เป็นเพียงปัจจัยหลัก ๆ เท่านั้นที่ทาง google ใช้ประเมินเว็บไซต์ของคุณว่าสามารถใช้ SEO ในการนำเสนอเนื้อหาได้ดีแค่ไหน สุดท้ายเรื่องคุณภาพก็สำคัญไม่แพ้การโปรโมท หากทำได้ทั้งหมดตามที่เรากล่าวมาจะทำให้คุณประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน

สิ่งที่บอกว่าคอนเทนต์เข้าถึงกลุ่มคนใน Social Media

คอนเทนต์กับ Social Media มีความเชื่อมโยงกันในเรื่องของความสนใจ ผ่านการนำเสนอที่เข้าถึงกลุ่มผู้คนในวงกว้าง  ซึ่งก่อนจะนำเสนอคุณอาจจะต้องเข้าไปดูตัวอย่างของคอนเทนต์ โดยสังเกตจากองค์ประกอบดังนี้ 

  • Reach ตัวที่สามารถวัดคุณภาพของคอนเทนต์ได้ เพราะเป็นตัวที่บอกการเข้าถึงมากน้อยแค่ไหน ซึ่งการที่จะทำให้มีคนสนใจคอนเทนต์จะต้องมีคุณภาพ
  • Engagement เป็นอีกหนึ่งการชี้วัดว่าคอนเทนต์นั้น ๆ มีคุณภาพมากแค่ไหน ซึ่งไม่เพียงดูแค่ในเรื่องของยอดไลก์ ยอดแชร์เท่านั้น แต่คือการโต้ตอบในรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งคนที่เข้ามาอ่านอาจต้องการดูการโต้ตอบที่มีต่อคอนเทนต์ เช่น การคอมเม้นท์ การพูดถึงและบอกต่อ  
  • Acquisition ตัวสุดท้ายที่ชี้วัดว่าคอนเทนต์ของคุณมีคุณภาพจริง เพราะผู้ที่ได้เข้ามาอ่านหรือติดตามจะกลับมาซ้ำอีกครั้ง สังเกตได้จากการพูดคุย โต้ตอบกันและการเข้าถึงที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นนั่นเอง 

เหล่านี้คือปัจจัยต่าง ๆ ที่สามารถบอกได้ว่าคอนเทนต์ในรูปแบบ SEO ของคุณนั้นมีคุณภาพเพียงพอที่จะตอบสนองความต้องการของเหล่าผู้ที่ติดตามได้มากน้อยแค่ไหน หากทำได้สิ่งที่ตามมาคือการเข้าถึงที่เพิ่มขึ้น ไปจนถึงการแชร์และพูดถึงในวงกว้าง สร้างความน่าเชื่อถือและนำไปสู่การเป็นที่รู้จัก

SEO คืออะไรทำความเข้าใจ SEO ฉบับย่อก่อนตัดสินใจลงมือทำ

SEO คืออะไรทำความเข้าใจ SEO ฉบับย่อก่อนตัดสินใจลงมือทำ

หากคุณเป็นเจ้าของธุรกิจและเว็บไซต์ คุณย่อมจะตระหนักถึงความสำคัญของการเข้าชมเว็บไซต์ของลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย เพราะนั่นคือหนทางที่คุณจะได้เผยแพร่ประชาสัมพันธ์ทั้งสินค้าและแนวคิดของธุรกิจของคุณให้กับลูกค้าได้อย่างตรงไปตรงมาที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเข้าชมของลูกค้าโดยปราศจากการชี้นำจากกลไกของการโฆษณาทางการตลาด หรือที่เราเรียกว่าการเข้าชมแบบธรรมชาติ หรือการเข้าชมแบบออแกนิคนั่นเอง ทั้งนี้ก็เพราะว่าคนส่วนใหญ่จะคลิกเลือกผลการค้นหา 2-3 รายการแรกที่ปรากฏขึ้นบนเสิร์ชเอนจิ้น และไปยังเว็บไซต์ที่อยู่ลำดับรายการแรก ๆ เหล่านั้น ดังนั้นการที่เว็บไซต์ของคุณสามารถอยู่ในอันดับต้น ๆ ของการค้นหาในแพลตฟอร์มออนไลน์ ก็จะนำไปสู่การเข้าชมที่มากขึ้น SEO หรือการเพิ่มประสิทธิภาพกลไกการค้นหาเว็บไซต์จึงเข้ามามีบทบาทอย่างมากสำหรับการตลาดในยุคเมตาเวิร์สเช่นในขณะนี้

SEO คืออะไรทำความเข้าใจ SEO ฉบับย่อก่อนตัดสินใจลงมือทำ

SEO คืออะไร? การเพิ่มประสิทธิภาพกลไกค้นหา (SEO) เป็นกระบวนการเพิ่มปริมาณการค้นเจอทั่วไปของเว็บไซต์ 

แล้ว SEO จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการค้นเจอได้อย่างไร? เริ่มแรกคุณต้องทำความเข้าใจก่อนว่า SEO จะทำงานผ่านขั้นตอนหลัก ๆ ดังนี้คือ 

  • การวิจัยหาคำค้นหลัก
  • การวิเคราะห์คำค้นหลักที่ผู้คนใช้ในการค้นหาคอนเทนต์ที่พวกเขาสนใจ
  • การสร้างเนื้อหาเพื่อให้สอดคล้องกับคำค้นหลักที่กำหนดขึ้น
  • และ การเชื่อมโยงลิงค์เข้ากับคำค้นหลักที่กำหนดขึ้นเพื่อดึงผู้ชมให้เข้ามาสู่หน้าเว็บไซต์ของคุณ

และนอกจากนั้น เมื่อคุณได้คำค้นหลักแล้ว SEO ก็จะช่วยให้คุณสามารถสร้างเนื้อหาโดยอาศัยคำค้นหลัก เพื่อนำพาผู้เข้าชมมายังเว็บไซต์ของคุณ ในลักษณะที่ไม่เพียงแต่บรรจุคำค้นหลักลงในบทความ แต่ยังเป็นการใส่คำค้นหลักภายในบทความในลักษณะเป็นธรรมชาติมากที่สุด ที่สำคัญ SEO ก็ยังมีเครื่องมือมากมายที่จะช่วยวิเคราะห์และรายงานสถิติการเข้ารับชมจาก จึงทำให้คุณสามารถปรับปรุงหน้าเว็บไซต์ของคุณได้อย่างทันสมัยสอดคล้องลูกค้าของคุณอย่างลงตัว เพราะคุณมองเห็นเส้นทางการเข้าชมจากกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่ชัดเจน และคุณยังสามารถติดตามดูความเคลื่อนไหวของเว็บไซต์คู่แข่งได้อีกด้วย หรืออาจจะเรียกได้ว่า โดยปกติแล้วสิร์ชเอนจิ้น จะค้นหาและจัดทำดัชนีเว็บไซต์ต่าง ๆ ด้วย AI โดยอัตโนมัติ แต่คุณสามารถดันอันดับเว็บไซต์ของคุณให้อยู่ในอันดับต้น ๆ โดยการใช้ SEO เข้ามารบกวนการทำงานของ AI นั่นเอง

ตามการทําความเข้าใจวิธีใช้ SEO อย่างถ่องแท้ เพื่อดึงดูดผู้เข้าชมเว็บไซต์ของคุณ ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งความท้าทาย แต่การเรียนรู้วิธีการใช้ SEO บนหน้าเว็บไซต์ของคุณ ก็จะสามารถทําให้เว็บไซต์ของคุณได้เปรียบคู่แข่ง ทําให้เว็บไซต์คุณอยู่ในอันดับต้น ๆ ของการค้นหาเสิร์ชเอนจิ้น โดยเฉพาะในของ Google และเมื่อถึงเวลานั้นคุณก็จะพบว่าผลลัพธ์ที่ได้นั้น ช่างคุ้มค่ากับความพยายามในการเรียนรู้เกี่ยวกับ SEO เชื่อเถอะว่า ไม่มีความพยายามครั้งไหนที่จะไม่ก่อให้เกิดการพัฒนาและความก้าวหน้า และความพยายามในการเรียนรู้ SEO ก็เช่นเดียวกัน

ทำ SEO ยังไงให้ปัง เพิ่มยอดขายและฐานลูกค้าในแบบที่คุณต้องการ

ทำ SEO ยังไงให้ปัง เพิ่มยอดขายและฐานลูกค้าในแบบที่คุณต้องการ

การทำ SEO ได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงระยะเวลาที่ผ่านเนื่องด้วยสามารถพิสูจน์ให้ผลลัพธ์ได้ว่าการทำ SEO อย่างเหมาะสมสามารถที่จะช่วยให้เว็บไซต์ไปอยู่ในจุดที่เจ้าของเว็บไซต์ต้องการ ช่วยเพิ่มโอกาสในด้านธุรกิจ ได้เปรียบกว่าคู่แข่งและประโยชน์อื่น ๆ อีกมากมาย หลายคนจึงหันมาเรียนรู้การทำ SEO มากขึ้นแทนการที่จะโปรโมทเว็บไซต์ผ่านโฆษณาอย่างเดียว โดยจะพาทุกคนไปพบกับวิธีการทำ SEO ที่นักธุรกิจควรต้องรู้ เพื่อการเพิ่มยอดขายและขยายฐานลูกค้าในแบบที่คุณต้องการ

  • มีการปรับแต่งคีย์เวิร์ดให้สอดคล้องกับเนื้อหา การกระจายตัวของคีย์เวิร์ดในเนื้อหาก็ควรที่จะมีความเหมาะสม ยกตัวอย่างเช่นในแต่ละย่อหน้าก็ควรที่จะมีคีย์เวิร์ดสอดแทรกอยู่แต่เน้นในเรื่องของความเป็นธรรมชาติ พูดง่าย ๆ ก็คือต้องไม่พยายามยัดเยียดคีย์เวิร์ดให้มากจนเกินพอดี เพราะจะทำให้เนื้อหานั้นดูไม่น่าสนใจ

  • มี Backlink ซึ่งก็คือการที่มีลิงก์ของเว็บไซต์ตนเองไปปรากฏอยู่ที่เว็บไซต์อื่น ๆ เพื่อที่ว่าผู้คนที่มีความสนใจสามารถที่จะมีการคลิกกดเข้ามาแล้วลิงค์กลับมาที่เว็บไซต์ได้ ด้วยที่ว่าจะช่วยเพิ่มคะแนนในการจัดอันดับเว็บไซต์ในหน้าการค้นหาให้มากขึ้นตามไปด้วยสำหรับเว็บไซต์ไหนที่มีลิงก์ปรากฎอยู่ในหน้าเว็บไซต์อื่น ๆ เปรียบเทียบก็เสมือนเป็นการโหวต และดูเป็นเว็บไซต์ที่มีความน่าเชื่อถือนั่นเอง สิ่งสำคัญก็คือควรที่จะมี Backlink ที่มาจากเว็บไซต์ที่มีความน่าเชื่อถือเช่นเดียวกัน

  • สร้างเนื้อหาภายในเว็บไซต์ที่มีความน่าสนใจ โดยให้ผู้คนสามารถเข้ารับชมเว็บไซต์นานขึ้นผ่านวิธีการดังต่อไปนี้ ไม่ว่าจะเป็นการใส่รูปภาพ วิดีโอ การเขียนเนื้อหาที่ผู้อ่านมีส่วนร่วมได้หรือเรียกอีกนัยหนึ่งก็คือเป็นเชิงโต้ตอบ ในส่วนของเนื้อหานั้นก็ควรที่จะต้องไปกันได้ดีกับคีย์เวิร์ดที่ผู้ชมกดพิมพ์ค้นหาเข้ามา ไม่ใช่เป็นคนละเรื่องหรือมีเนื้อหาที่ต่างออกไปอย่างชัดเจน เพราะจะทำให้ผู้ชมไม่อยู่ในหน้าเว็บไซต์นาน ๆ ก็จะออกไปเพื่อรับชมเว็บไซต์อื่น ๆ

  • อีกส่วนหนึ่งที่ดูเหมือนว่าไม่ใช่ปัญหาสำคัญแต่เป็นจุดที่ทำให้หลายเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาสาระดีและเป็นประโยชน์มีผู้รับชมจำนวนไม่มากเท่าที่ควรก็คือ ความเร็วในการดาวน์โหลดเว็บไซต์นั่นเอง เนื่องจากหลายคนเลือกที่จะกดผ่านเว็บไซต์ที่มีการดาวน์โหลดที่นาน เพราะต้องการความรวดเร็วในการสืบค้นข้อมูล

แต่ละวิธีที่นำมาแชร์นั้นเป็นวิธีที่หลายคนอาจมองข้าม แต่ต้องบอกว่าทุก ๆ วิธีนั้นล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับการทำ SEO ใครที่อยากประสบความสำเร็จในธุรกิจอย่างที่ตั้งใจ การทำ SEO ที่ถูกต้องคือคำตอบของคุณ

4 เทคนิค เขียนคอนเทนต์อย่างไรให้ถูกหลัก SEO

4 เทคนิค เขียนคอนเทนต์อย่างไรให้ถูกหลัก SEO

เชื่อว่านักการตลาดหลายคนทราบดีกว่าการทำ SEO หรือ Search Engine Optimization จำเป็นต้องใช้องค์ประกอบหลายอย่างเพื่อผลักดันให้เว็บไซต์ติดหน้าแรกการค้นหา เช่น การออกแบบเว็บไซต์ให้ใช้งานง่าย การแสดงบน การเลือกคีย์เวิร์ด ที่ขาดไม่ได้คือการเขียนคอนเทนต์ เพราะคอนเทนต์หรือบทความมีส่วนอย่างมากที่จะช่วยผลักดันให้กลุ่มเป้าหมายพบเจอเว็บไซต์คุณง่ายยิ่งขึ้น นักการตลาดออนไลน์จึงให้ความสำคัญกับการทำคอนเทนต์เป็นอย่างยิ่งเพื่อเพิ่มโอกาสเจอกลุ่มเป้าหมายที่ใช่มากที่สุด

เขียนคอนเทนต์อย่างไรให้ถูกหลัก SEO

1. คอนเทนต์ต้องมีคีย์เวิร์ด

เทคนิคเบื้องต้นสำหรับการเขียนคอนเทนต์รองรับ SEO คือทุกคอนเทนต์ที่อัปโหลดลงเว็บไซต์ต้องมีคีย์เวิร์ด โดยคีย์เวิร์ดจะช่วยให้กลุ่มเป้าหมายค้นเจอเว็บไซต์คุณง่ายยิ่งขึ้น การเลือกคีย์เวิร์ดจำเป็นต้องใช้เครื่องมือในการวิเคราะห์ว่าคีย์เวิร์ดใดมีการค้นหามากที่สุดหรือเทรนด์การใช้คีย์เวิร์ดเป็นอย่างไร ตัวอย่างเครื่องมือยอดนิยม ได้แก่ Google Keyword Planner และ Google Ads เป็นต้น

2. แทรกคีย์เวิร์ดในตำแหน่งเหมาะสม

เมื่อวิเคราะห์คีย์เวิร์ดเรียบร้อยแล้วก็ได้เวลาแทรกคีย์เวิร์ดในตำแหน่งเหมาะสม เพราะตำแหน่งการวางคีย์เวิร์ดมีส่วนสำคัญที่จะทำให้ Search Engine เข้าใจว่าคอนเทนต์นั้น ๆ มีเนื้อหาเกี่ยวกับอะไรและตรงกลุ่มเป้าหมายหรือไม่ สำหรับตำแหน่งที่จำเป็นต้องใส่คีย์เวิร์ด คือ ชื่อบทความ คำบรรยายบทความ หัวข้อ และที่ขาดไม่ได้คือชื่อรูปภาพ

3. กระจายคีย์เวิร์ดอย่างเป็นธรรมชาติ

นอกจากตำแหน่งต่าง ๆ ที่จำเป็นต้องมีคีย์เวิร์ดรวมอยู่ด้วยแล้ว อีกตำแหน่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือการใส่คีย์เวิร์ดลงในบทคาม ที่สำคัญคือการกระจายคีย์เวิร์ดให้เป็นธรรมชาติ ไม่พยายามใส่คีย์เวิร์ดจำนวนมากเกินไป โดยปริมาณที่เหมาะสมคือไม่ควรเกิน 2 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณข้อความ

4. คอนเทนต์คุณภาพ ตรงความต้องการกลุ่มเป้าหมาย

หัวใจสำคัญของการเขียนคอนเทนต์ให้เป็นไปตามหลัก SEO คือการเขียนคอนเทนต์สดใหม่และอยู่ในความสนใจกลุ่มเป้าหมาย คอนเทนต์ที่ลงในเว็บไซต์จึงต้องเป็นคอนเทนต์ที่ไม่ลอกเลียนแบบมาจากแหล่งอื่น เพราะหากระบบตรวจจับได้ เว็บไซต์อาจโดนแบนจนเสียโอกาสติดหน้าแรกการค้นหา นอกจากนี้คอนเทนต์ต้องน่าสนใจ ตรงความต้องการกลุ่มเป้าหมาย เช่น หากเป็นเว็บไซต์จำหน่ายเครื่องสำอาง บทความควรเกี่ยวข้องกับความสวยความงาม ซึ่งเป็นเรื่องที่กลุ่มเป้าหมายให้ความสนใจเป็นพิเศษ หรือคอนเท้นต์เกี่ยบวกับบอล บทความควรจะเป็นเรื่อง ผลบอล โปรแกรม สถิติการแข่งขัน เป็นต้น

เมื่อเขียนคอนเทนต์ตามหลัก SEO แล้ว เชื่อว่าเว็บไซต์คุณจะมีโอกาสก้าวสู่หน้าแรกการค้นหาง่ายยิ่งขึ้น แม้ว่าคอนเทนต์จะมีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้เว็บไซต์ติดหน้าแรกการค้นหา แต่ถึงอย่างนั้นการทำ SEO จำเป็นต้องพึ่งองค์ประกอบอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น การออกแบบโครงสร้างเว็บไซต์ การทำ Backlink ความเร็วในการดาวน์โหลด ฯลฯ ที่สำคัญในฝั่งของท่านเจ้าของธุรกิจเองจำเป็นต้องสร้างประสบการณ์ที่ดีในการซื้อสินค้าและบริการร่วมด้วย เช่น การพัฒนาคุณภาพสินค้า การจัดรายการส่งเสริมการขาย ควบคู่ไปกับการทำ SEO เพื่อผลลัพธ์ทางการตลาดที่มีประสิทธิภาพ

ทำไมการทำ SEO ช่วยให้เงินในกระเป๋าเพิ่มขึ้นได้

ทำไมการทำ SEO ช่วยให้เงินในกระเป๋าเพิ่มขึ้นได้

ในยุค covid ทุกคนต่างต้องการสร้างรายได้มากขึ้น จะทำธุรกิจใดก็อยากให้ลงทุนน้อยที่สุด เพื่อรักษาเงินทุนสำรองในกระเป๋าสำหรับเหตุการณ์ไม่คาดฝันในอนาคต  การทำเว็บไซต์ออนไลน์ก็เช่นเดียวกันมีการกล่าวถึงหลักการของ SEO หรือ search engine optimization ว่าช่วยให้ประหยัดค่าใช้จ่าย เพิ่มเงินในกระเป๋าจากการทำธุรกิจออนไลน์ เรามาดูกันว่ามีเหตุผลใดบ้าง

1. SEO ทำให้ประหยัดค่าโฆษณา 

การโฆษณาหรือ SEM มาจากคำว่า Search Engine Marketing เป็นการเสียค่ายิงโฆษณาให้แก่ Google คุณจะได้อันดับที่อยู่ด้านบนของหน้าจอสืบค้นใน Google แน่นอน แต่จะมีระยะเวลาอยู่จำกัดตามงบประมาณที่จ่ายไป และจำเป็นจะต้องเลือกกลุ่มเป้าหมายและ keyword ในการทำ SEM ที่ชัดเจน ส่วนการทำ SEO ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด เพราะเป็นการผลิตคอนเทนต์ในเว็บไซต์ให้มีข้อมูลมากขึ้นไปเรื่อย ๆ จึงเป็นการดันอันดับเว็บไซต์ตัวเองให้อยู่ด้านบนได้แบบไม่เสียเงิน

2. SEO ทำได้เองไม่ต้องรอจ้างหรือประสานงานใคร

ในปัจจุบัน การทำ SEO นั้นมีคอร์สสอนจากกูรูมากมาย อีกทั้งสามารถศึกษาเทคนิคได้ฟรี ๆ ตามเว็บไซต์และ YouTube ต่าง ๆ ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายได้เป็นอย่างมาก คุณสามารถเริ่มเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องรอจ้างหรือประสานงานกับใคร ซึ่งต่างจากการจ้างโฆษณาหรือจ้างบริษัททำการตลาดให้ที่ต้องเตรียมค่าใช้จ่ายหลายหมื่นหลายแสนบาทขึ้นไป ผู้ที่หัดทำผู้ที่เริ่มทำธุรกิจออนไลน์มือใหม่จึงควรเรียนรู้การทำ SEO ด้วยตัวเองจะประหยัดเงินได้ เมื่อมีลูกค้ามาอุดหนุนก็จะได้ส่วนต่างกำไรเหลือมากกว่าการจ้างทำโฆษณาแน่นอน

3. มีคนจ้างโฆษณาเพราะมีเอกลักษณ์

หากรูปภาพ บทความ และคลิปวิดีโอที่ทำด้วยหลักการ SEO มีคุณภาพและมีเอกลักษณ์ เช่นเดียวกับคนดังในโลกออนไลน์ที่ไม่จำเป็นต้องเป็นดารานักแสดง คุณจะเป็นอีกหนึ่งคนที่มีบริษัทสินค้าติดต่อมาขอเป็นสปอนเซอร์หรือซื้อพื้นที่โฆษณาในเว็บไซต์ด้วยมูลค่าหลักหมื่นหลักแสนบาท ดังนั้นการทำ SEO ด้วยตัวเอง นอกจากช่วยประหยัดแล้ว ยังทำให้เห็นจุดอ่อน-จุดแข็งของตัวเอง สร้างคอนเทนต์ที่เป็นเอกลักษณ์ยิ่งขึ้นและนำมาซึ่งการจ้างโฆษณาได้

4. สร้างรายได้จากการดูแล SEO ให้เว็บไซต์อื่น

ไม่ใช่ทุกเว็บไซต์จะมีเจ้าของที่พร้อมเรียนรู้การทำ SEO ด้วยตัวเอง หากคุณมีความสามารถทำ SEO เสียแต่วันนี้อย่างชำนาญ ก็มีโอกาสเป็นที่ปรึกษาด้าน SEO หรือทำหน้าที่ดูแล SEO ให้เว็บไซต์อื่นได้ ซึ่งเป็นงานที่ต้องมีความต่อเนื่อง จึงเป็นโอกาสให้มีรายได้เข้ากระเป๋าได้ตลอดปีอีกทางหนึ่ง

กล่าวได้ว่า การทำ SEO มีข้อดีทั้งด้านค่าใช้จ่ายที่ต้องเสียน้อยลง ได้ฝึกฝนทักษะและเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในการทำเว็บไซต์ได้อย่างตรงใจกลุ่มเป้าหมายและเพิ่มโอกาสได้ส่วนต่างกำไรเมื่อขายสินค้าและบริการได้มากขึ้นด้วย จึงเป็นเทคนิคการตลาดออนไลน์ระดับพื้นฐานที่ทุกคนควรเรียนรู้

การเขียนบทความที่ดีเพื่อนำไปใช้ในการทำ SEO

การเขียนบทความที่ดีเพื่อนำไปใช้ในการทำ SEO

บทความเป็นหนึ่งในคอนเทนต์ที่สำคัญในการทำ SEO ให้ประสบความสำเร็จ  เป็นสิ่งผู้ทำ SEO ต้องให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก  เพราะทำได้ง่ายใช้เวลาไม่นานเมื่อเทียบกับการทำคลิปวิดีโอ วันนี้เรามาเรียนรู้วิธีการเขียนบทความเพื่อที่จะนำไปใช้ทำ SEO ด้วยกัน

1. วางแผนเตรียมการ

คิดล่วงหน้าเลยว่าจะเขียนหัวข้ออะไร จำนวนกี่บทความ จำนวนไม่สำคัญวัดกันที่คุณภาพ  โดยทั่วไปเขียนวันละหนึ่งบทความก็พอ ความยาวของบทความเป็นสิ่งสำคัญ  อย่างน้อยหนึ่งบทความไม่ควรจะน้อยกว่า 500 คำ ถึง 3,000 คำ ซึ่งเราสังเกตได้จากมุมซ้ายของโปรแกรม Microsoft word จะมีบอกไว้ 

2. การเลือกใช้คำเพื่อนำมาทำ keyword 

keyword คือคำที่จะนำมาใช้เขียนบทความ สามารถตรวจสอบได้จาก google trend หรือเครื่องมืออื่น ๆ เลือกใช้คำที่มีการค้นหาจำนวนมากมาเขียนเพื่อที่จะทำให้มีโอกาสถูกจัดอันดับติดหน้าแรกของ google 

3. ชื่อเรื่อง

ชื่อเรื่องเป็นสิ่งที่นักเขียนต้องให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก  เพราะชื่อเรื่องเหมือนเข็มทิศชี้นำทาง ไม่ควรจะตั้งชื่อเรื่องให้ยาวเกิน 50 คำ ใช้คำที่อ่านแล้วชวนให้น่าคลิกเข้ามาอ่าน เทคนิคที่นักเขียนนิยมใช้กันคือ การเข้าไปอ่านพาดหัวข้อข่าวจากสำนักต่าง ๆ จะทำให้ได้ไอเดียดี ๆ ที่จะนำมาใช้ตั้งเป็นชื่อเรื่อง เช่น 7 วิธีสร้างรายได้ภายใน 1 ชั่วโมง, เคล็ดลับหน้าใสในภายใน 5 นาที เป็นต้น แต่ต้องเป็นสิ่งที่ทำได้จริงด้วย ไม่เช่นนั้นบทความจะดูไม่น่าเชื่อถือ

4. บทนำ

การเขียนบทนำมีวัตถุประสงค์เพื่อกล่าวถึงที่มาที่ไป หลักการและเหตุผล หรือความจำเป็นว่าทำไมจึงเขียนบทความนี้หรือผู้อ่านจะได้อะไรจากการเข้ามาอ่านบทความของเรา

5. เนื้อหาบทความ

เนื้อหาของบทความควรเขียนให้กระชับเข้าใจง่าย ความยาวของบทความไม่ตายตัวขึ้นอยู่กับเนื้อหาสาระที่เราต้องการเขียน โดยมากบทความที่จะนำมาใช้ทำเป็น SEO จะมีความยาวอยู่ที่ 500 ถึง 3,000 คำ ไม่เน้นปริมาณแต่วัดกันที่คุณภาพ แม้ว่าเว็บไซต์ใหญ่ ๆ จะมีบทความหลักพันชิ้นเลยก็ตาม

6. บทสรุป

อาจจะมีหรือไม่ก็ได้ขึ้นอยู่กับความถนัดของนักเขียนแต่ละท่าน แต่โดยมากบทความที่ประสบความสำเร็จมักจะมีบทสรุปส่งท้ายอยู่เสมอ

7. อ้างอิงแหล่งข้อมูล

หากมีข้อมูลที่เป็นตัวเลขหรืองานวิจัยที่เราไม่ได้ทำเองก็ต้องใส่มาด้วย เพราะจะทำให้บทความของเราดูมีน้ำหนักและน่าเชื่อถือมากขึ้น

การจะเขียนบทความเพื่อทำ SEO ให้ประสบความสำเร็จนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย  นักเขียนระดับมืออาชีพยังเคยล้มเหลว  แต่ใช่ว่ามือใหม่จะทำไม่ได้ ขอเพียงแต่มีความตั้งใจจริง ศึกษาหาความรู้อยู่เสมอ เชื่อว่านักเขียนทุกท่านจะสามารถผลิตงานเขียนระดับมาสเตอร์พีสออกมาใช้ทำ SEO ได้อย่างแน่นอน

สิ่งที่ห้ามทำ หากอยากให้ SEO ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สิ่งที่ห้ามทำ หากอยากให้ SEO ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

SEO หรือ Search Engine Optimization ช่วยให้เว็บไซต์ของเราเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยระบบการทำงานของ SEO เน้นการใช้ Keyword และการวิเคราะห์พฤติกรรมของลูกค้าที่จะเกิดขึ้นทุกครั้งเมื่อบุคคลเหล่านั้นเข้าบราวเซอร์ในโลกออนไลน์ ด้วยเหตุนี้การทำ SEO จึงเป็นเทคนิคการโปรโมตเว็บไซต์แบบไม่เสียสตางค์ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

หากต้องการให้ SEO ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด คุณต้อง “ห้าม” ทำสิ่งต่อไปนี้

  1. เขียนบทความเหมือนกันซ้ำ ๆ
    จริงอยู่ที่การเขียนบทความลงบนเว็บไซต์ คือ ส่วนหนึ่งของการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้กับ SEO ซึ่งในแต่ละบทความก็จำเป็นต้องมี Keyword ที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมายค้นหาแทรกอยู่ด้วย ทว่าเมื่อใดก็ตามที่เราเขียนบทความซ้ำเดิมหรือคัดลอกผลงานคนอื่นมา ลำดับในการมองเห็นเว็บไซต์ของเราก็จะต่ำลงทันที เนื่องจาก Google จะถือว่าเว็บไซต์ของคุณไม่มีคุณภาพนั่นเอง
  2. ทำ Backlink ไม่มีคุณภาพ
    แน่นอนว่าการใส่ Backlink เป็นเรื่องที่ดี แต่คุณภาพของลิงก์ที่นำมาใช้ก็จำเป็นต้องมีคุณภาพและสอดคล้องกับเนื้อหาด้วย หากเราไม่คำนึงถึงคุณภาพของเพจที่เชื่อมต่อเลย ในระยะยาวย่อมส่งผลเสียต่อเว็บไซต์อย่างแน่นอน นอกจากนี้ Google ยังจะมองว่าเว็บไซต์ของเราเป็น Spam และอาจถูกลงโทษจาก Google ด้วย
  3. ไม่เน้นคุณภาพของเนื้อหา
    หลายคนมักเข้าใจว่าการทำ SEO คือ การมีบทความที่ยิ่งเยอะก็ยิ่งดี เพื่อให้ Search Engine จับ Keyword บนหน้าเว็บไซต์ของเราได้ ตรงนี้เป็นความเข้าใจที่ผิด เพราะสิ่งสำคัญกว่า คือ การให้ผู้อ่านได้รับประโยชน์มากที่สุดจากเนื้อหาสาระที่นำเสนอ ทั้งต้องมีความทันสมัย อัปเดตข้อมูลสดใหม่และเป็นความจริงอีกด้วย
  4. ให้มีตำแหน่งโฆษณาเยอะเกินไป
    เป็นที่รู้กันดีอยู่ว่าโฆษณาที่อยู่บนเว็บไซต์ของเรา คือ อีกหนึ่งช่องทางสร้างรายได้ อย่างไรก็ดี เจ้าของเว็บไซต์ต้องคำนึงถึงตำแหน่งการจัดวางที่เหมาะสมด้วย ไม่ควรให้โฆษณาขึ้นมาขัดจังหวะหรือบังทัศนียภาพของผู้ที่เข้ามาอ่านบทความบนเว็บไซต์ รวมไปถึง Pop up ก็ต้องควบคุมอีกเช่นกัน ไม่ควรปล่อยให้เด้งขึ้นมาตลอดเวลา เพราะอาจส่งผลให้เกิดความรำคาญ จนผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ของคุณไม่อยากกลับมาอ่านอีก
  5. ปล่อยให้เว็บไซต์มี Link เสีย
    หากเว็บไซต์ของเรามีลิงก์หนึ่งที่เราเชื่อมไว้เสียหาย และไม่สามารถเปิดได้ จะส่งผลต่อประสิทธิภาพของ SEO เป็นอย่างมาก เพราะทำให้ผู้ที่เข้ามาชมในเว็บไซต์รู้สึกไม่มั่นใจ ขาดความน่าเชื่อถือในแบรนด์ อีกทั้ง Google ยังหักคะแนนเมื่อตรวจพบ Link ที่ใช้การไม่ได้อีกด้วย ผู้ที่ทำเว็บไซต์จึงควรตรวจเช็ก Link และแก้ไข Sitemap บนเว็บไซต์อยู่เสมอ

ข้อห้ามทั้ง 5 ข้อที่กล่าวมา คือ สิ่งที่ผู้คนจำนวนหนึ่งมักทำผิดพลาดอยู่เสมอ เราจึงควรคำนึงถึงประโยชน์ เข้าใจพฤติกรรมของลูกค้า และใส่ใจคุณภาพของเนื้อหาบทความ SEO เป็นหลัก เพื่อให้เว็บไซต์ของเราติดอันดับต้น ๆ บน Google Search ได้ตลอดเวลา

เพราะเหตุใดการทำ SEO เว็บไซต์ธุรกิจ ต้องคำนึงถึงการกลับมาเยี่ยมชมซ้ำ

เพราะเหตุใดการทำ SEO เว็บไซต์ธุรกิจ ต้องคำนึงถึงการกลับมาเยี่ยมชมซ้ำ

ธุรกิจส่วนใหญ่วางแผนโปรโมทเว็บไซต์เพื่อให้ผู้ชมใหม่เห็นเว็บไซต์มากขึ้น ถือเป็นช่องทางการตลาดที่มีค่าใช้จ่ายน้อยและเห็นผลเร็ว แต่มักลืมไปว่าการทำเว็บไซต์นั้นต้องมีข้อมูลที่ดี การทำ SEO เรียกคนเข้าชมครั้งแรกแต่ถ้าขาดความประทับใจแล้วโอกาสกลับมาเยี่ยมชมใหม่มีน้อย การเข้าชมเพียงครั้งเดียวไม่มีประโยชน์อะไร แต่ถ้าจำนวนผู้กลับมาชมซ้ำอีก ถือว่าแผนการตลาดประสบความสำเร็จ ทำให้ผู้มีโอกาสเป็นลูกค้ากลับมาเป็นลูกค้าประจำ เกิดผลลัพธ์ที่ดีในระยะยาว

แน่นอนว่าหลักเกณฑ์การจัดอันดับเว็บไซต์ของ Google ถือเอาอัตราผู้เข้าชมที่กลับมาในเว็บไซต์อีกครั้งเป็นส่วนสำคัญต่อการวิเคราะห์จัดอันดับ โดยจะนับจากผู้ชมที่กลับมาเยี่ยมเว็บไซต์อีกครั้งโดยใช้อุปกรณ์เดิมที่เคยใช้ภายในรอบ 2 ปี ตามหลักแล้วผู้ชมใหม่มีเปอร์เซ็นน้อยที่จะสั่งซื้อสินค้าในทันที แตกต่างจากผู้เข้าชมที่กลับมาเยี่ยมเว็บไซต์อีกครั้งมีโอกาสซื้อสินค้าสูงถึง 75%

ด้วยเหตุที่ธุรกิจต้องการสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักพร้อมกับการโปรโมทเว็บไซต์กระตุ้นยอดขายเพิ่มขึ้น การทำให้มีผู้ชมกลับมาเยือนเว็บไซต์อีกครั้งเป็นเรื่องสำคัญ ไม่เพียงเพิ่มโอกาสขายได้มากขึ้นเท่านั้น แต่ยังมียอดขายต่อเนื่องด้วย การสร้างเว็บไซต์ที่มีโครงสร้างไม่ซับซ้อน ค้นหาสิ่งที่ต้องการได้ง่ายจะช่วยเพิ่มความประทับใจให้ผู้ชมเว็บไซต์มากขึ้น เป็นหนึ่งในวิธีผูกใจลูกค้าเป้าหมายให้กลับเข้ามาเป็นลูกค้าซ้ำอีก การทำคอนเทนต์ให้น่าสนใจเป็นอีกกลยุทธ์ที่ต้องศึกษาให้ดี ยิ่งบทความมีเนื้อหาน่าอ่านและใช้คีย์เวิร์ดที่เหมาะกับการทำ SEO ได้ดีเท่าไร การสร้างความประทับใจทำให้ผู้ชมกลับมาอีกจะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น ความน่าสนใจยังขึ้นอยู่กับรูปภาพและวิดีโอประกอบบทความที่ทำให้เนื้อหาเข้าใจง่ายขึ้นด้วย

พลังของโซเชียลมีเดียในการประชาสัมพันธ์ให้ผู้ชมเว็บไซต์ติดตามผ่านทางเฟซบุ๊ก, อินสตาแกรม และสื่ออื่น ๆ ที่สำคัญคือมีประโยชน์มากสำหรับธุรกิจ เพราะสื่อสังคมออนไลน์เข้าถึงผู้บริโภคได้ง่าย กระตุ้นให้เกิดการบอกเล่าแบบปากต่อปากให้รับรู้ข้อมูลในวงกว้างมากขึ้น เพิ่มโอกาสเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายง่ายและเร็วขึ้น ลูกค้าสามารถแสดงความคิดเห็นให้เจ้าธุรกิจนำมาใช้ในการปรับปรุงสินค้าหรือบริการให้ตรงกับความต้องการมากขึ้น รวมไปถึงการใช้แฮชแท็กให้เกิดกระแสความสนใจ แต่ควรระมัดระวังใช้แฮชแท็กอย่างพอดี ไม่มากเกินไปจนสร้างความรำคาญให้ลูกค้า

อัตราผู้เข้าชมที่กลับมาในเว็บไซต์โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 30% หากดึงดูดผู้ชมกลับมาอีกได้เกินกว่า 50% ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว เพราะเมื่อผู้ชมเริ่มกลับมาใช้งานอีกคือโอกาสที่จะเพิ่มยอดขายได้ หากเว็บไซต์พยายามอัปเกรดเนื้อหาให้สดใหม่ มีสาระประโยชน์ พร้อมทั้งปรับปรุงคีย์เวิร์ดให้ตรงกับความนิยมของผู้ใช้ในแต่ละช่วงเวลา ก็จะมีโอกาสสูงที่เสิร์ชเอนจินจะเลื่อนชั้นให้เว็บไซต์ขึ้นไปอยู่ในอันดับต้น ๆ ทำให้ถูกพบเจอได้ง่ายขึ้นด้วย

การทำ SEO มีประโยชน์ต่อธุรกิจขนาดเล็กอย่างไร

การทำ SEO มีประโยชน์ต่อธุรกิจขนาดเล็กอย่างไร

ทุกวันนี้ใคร ๆ ต่างพูดถึงการทำ SEO ว่ามีความสำคัญและเป็นประโยชน์ต่อการโปรโมทสินค้าและแบรนด์ผ่านทางสื่ออินเทอร์เน็ตซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการเติบโตทางธุรกิจ แต่เจ้าของธุรกิจขนาดเล็กยังคงข้องใจว่าจำเป็นต้องลงทุนทำ SEO จริงหรือ การเพิ่มประสิทธิภาพกลไกค้นหามีความคุ้มค่าหรือไม่ ทำแล้วธุรกิจจะเติบโตได้อย่างไร มาไขข้อข้องใจเรื่องนี้ด้วยกัน

1.ค้นพบเว็บไซต์ง่ายและการเข้าชมเพิ่มขึ้น
การทำ SEO คือการทำให้เว็บไซต์ติดอันดับหน้าแรกของ Google เวลาใส่คีย์เวิร์ดค้นหาสินค้าหรือบริการจะมองเห็นเว็บไซต์ของคุณก่อนคู่แข่งทำให้มีความได้เปรียบแต่ดึงดูดปริมาณเข้าชมเว็บไซต์เพิ่มขึ้น บทบาทสำคัญของการทำ SEO คือการเขียนบทความที่มีคุณภาพ เนื้อหาน่าสนใจและเป็นประโยชน์ ทำให้ผู้ชมสนใจอ่านและอยู่ในเว็บไซต์นานขึ้นซึ่งทาง Google ประเมินว่าเป็นการเข้าชมที่มีคุณภาพส่งผลดีต่อการจัดอันดับเช่นกัน

2.เพิ่มความน่าเชื่อถือ มีโอกาสปิดยอดขายง่ายขึ้น
แน่นอนว่าการจัดอันดับบนหน้าแรกของ Google มีส่วนเพิ่มความน่าเชื่อถือเพราะถือว่าได้รับการคัดเลือกแล้วว่าเป็นเว็บไซต์มีคุณภาพที่ไว้วางใจได้ การประเมินความน่าเชื่อถือจะพิจารณาจากเนื้อหาบทความที่มีคุณภาพ ความเร็วของเว็บไซต์และการใช้งานสะดวกบนหน้าจอมือถือ แม้ว่าอัลกอริทึมของ Google ปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา แต่กลยุทธ์พื้นฐานการทำ SEO อย่างถูกวิธียังคงเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจทำให้เว็บไซต์ของคุณเป็นที่รู้จักมากขึ้น อย่างไรก็ตาม การสร้างความไว้วางใจด้วยการทำ SEO ไม่ใช่กลยุทธ์ระยะสั้น กว่าจะเห็นผลต้องใช้เวลานานหลายเดือน ยิ่งเป็นสตาร์ทอัพหรือธุรกิจขนาดเล็กต้องมีความอดทนและโพสต์บทความน่าอ่านในเว็บไซต์อย่างต่อเนื่อง ยิ่งแบรนด์ของคุณเป็นที่รู้จักทางออนไลน์มากขึ้นเท่าไร จะยิ่งได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภคมากขึ้นเท่านั้น

3.สร้างประสบการณ์บนเว็บไซต์ให้ลูกค้าจดจำ
การทำ SEO มุ่งเน้นไปที่เครื่องมือค้นหาและการจัดอันดับของ Google เท่านั้น แต่ผู้ที่เข้าชมเว็บไซต์ได้รับประสบการณ์ที่ดี ทั้งข้อมูลที่ละเอียด มีประโยชน์ เนื้อหาที่สดใหม่ ตลอดจนโครงสร้างเว็บไซต์ที่ใช้งานง่ายและมีลิงก์ไปยังหน้าที่เกี่ยวข้องทำให้ผู้เข้าเว็บไซต์เกิดความพอใจและกลับเข้ามาใช้บริการซ้ำอีก หากเว็บไซต์ไม่เป็นมิตรกับผู้ใช้ โดยเฉพาะมือใหม่ที่ไม่คุ้นเคยกับเทคโนโลยีและอินเทอร์เน็ตมาก่อน ต่อให้เว็บไซต์อยู่ในหน้าแรกของ Google ก็ตาม เมื่อเข้ามาแล้วรู้สึกว่างง มีหน้ามากเกินไปทำให้สับสน รายการเมนูซับซ้อนและยุ่งยากทำให้ไม่อยากกลับมาใช้อีก ด้วยเหตุนี้กลยุทธ์ SEO ที่มีคุณภาพจึงต้องรวมเอาประสบการณ์ของผู้ใช้มาเป็นส่วนหนึ่งด้วย

4.SEO ทำให้ธุรกิจขนาดเล็กแข่งขันได้มากขึ้น
ธุรกิจขนาดเล็กอาจไม่อยู่ในสายตาของผู้บริโภคมาก่อน แต่ถ้าอยู่ในหน้าแรกของ Google จะสร้างโอกาสให้ธุรกิจขนาดเล็กได้รับโอกาสและมีศักยภาพการแข่งขันมากขึ้น คนส่วนใหญ่ค้นหาสิ่งที่ต้องการจากหน้าแรกใน Google ไม่เคยเลื่อนผ่านไปหน้าอื่นเลย ยิ่งอยู่ในตำแหน่งบนสุดด้วย อัตราการเลื่อนผ่านยิ่งน้อยลงไปอีก การทำ SEO ช่วยให้เลื่อนอันดับขึ้นทำให้ผู้ชมคลิกเข้าเว็บไซต์มากขึ้นเท่ากับว่าตัดจำนวนคู่แข่งน้อยลงในคราวเดียวกัน

หากการทำ SEO ช่วยปรับปรุงสถานะออนไลน์ทำให้ตำแหน่งในหน้าแรกของ Google จะสร้างความแตกต่างอย่างมากในการเรียกคนเข้าชมเว็บไซต์มากขึ้น ข้อสำคัญคือแบรนด์เป็นที่รู้จักมากขึ้น ต้องพร้อมธุรกิจให้พร้อมสำหรับผู้บริโภคมากขึ้นด้วย

รวมเทคนิคปั้นเว็บไซต์ให้ติดหน้าแรกด้วยการทำคอนเทนต์แบบเทพ ๆ

รวมเทคนิคปั้นเว็บไซต์ให้ติดหน้าแรกด้วยการทำคอนเทนต์แบบเทพ ๆ

ในยุคที่การตลาดออนไลน์มาแรง การทำ SEO จึงเป็นเครื่องมือหนึ่งที่ได้รับความนิยมมาก เพราะเป็นการปั้นเว็บไซต์เพื่อให้แสดงผลหน้าแรกของ Search Engine เพราะการติดหน้าแรกนอกจากจะทำให้กลุ่มเป้าหมายมีโอกาสเห็นเว็บไซต์ได้มากกว่าแล้ว ยังเพิ่มความน่าเชื่อถือ โดยหลักในการทำ SEO มีด้วยกันหลายอย่าง แต่ที่ดูจะเป็นหัวใจสำคัญอันดับต้น ๆ ต้องยกให้การทำคอนเทนต์ เพราะหากคอนเทนต์น่าสนใจ แน่นอนว่าจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์จะมากขึ้น ส่งผลให้มีโอกาสติดหน้าแรกของการค้นหาได้มากขึ้นเช่นกัน

และเพราะคอนเทนต์เป็นหัวใจสำคัญในการทำ SEO ทุกธุรกิจจึงให้ความสำคัญในการผลิตคอนเทนต์ แต่จะผลิตคอนเทนต์อย่างไรให้เพิ่มโอกาสติดหน้าแรกของ Search Engine วันนี้เรารวมเทคนิคสุดเจ๋งมาให้ เพื่อเป็นประโยชน์แก่คนทำเว็บไซต์

เริ่มต้นด้วยการวิเคราะห์คีย์เวิร์ด
ก่อนเริ่มต้นผลิตคอนเทนต์ แนะนำให้วิเคราะห์คีย์เวิร์ด เพื่อพิจารณาว่าคีย์เวิร์ดใดได้รับการค้นหาเป็นอันดับต้น ๆ ซึ่งปัจจุบันมีหลายเครื่องมือเป็นตัวช่วยการค้นหา เช่น Google Keyword Planner หรือ Google Trends เป็นต้น โดยการวิเคราะห์คีย์เวิร์ดจะช่วยให้คิดคอนเทนต์ได้โดนใจกลุ่มเป้าหมายและมีโอกาสเจอกลุ่มเป้าหมายได้เร็วยิ่งขึ้น

จัดทำคอนเทนต์น่าสนใจ
เพราะคอนเทนต์คือหัวใจสำคัญในการทำให้กลุ่มเป้าหมายคลิกเข้ามายังหน้าเว็บไซต์ การผลิตคอนเทนต์ให้น่าสนใจ อินเทรนด์ และตอบโจทย์ความต้องการกลุ่มเป้าหมาย จะช่วยให้กลุ่มเป้าหมายอยากคลิกเข้ามาอ่านและติดตามเว็บไซต์คุณอยู่เสมอ

แทรกคีย์เวิร์ดลงในคอนเทนต์
เมื่อคิดหัวข้อคอนเทนต์ที่น่าจะโดนใจกลุ่มเป้าหมายได้แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการใส่คีย์เวิร์ดเหล่านั้นลงในคอนเทนต์ โดยการใส่คีย์เวิร์ดที่ดีควรกระจายคีย์เวิร์ดให้ทั่วบทความ โดยเฉพาะชื่อหัวข้อ ย่อหน้าแรก และย่อหน้าสุดท้าย และความถี่ที่ใส่ไม่ควรเกิน 2-2.5 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนคำทั้งหมด เพื่อไม่ให้ดูแน่นเกินไป

คอนเทนต์มีคุณภาพ ไม่ลอก ไม่ซ้ำ
นอกจากคอนเทนต์โดนใจคนอ่านแล้วยังต้องได้คุณภาพ ไม่ลอกเลียนแบบเว็บไซต์อื่นและไม่คัดลอกบทความจากที่อื่นมาลง เพราะหาก Search Engine ตรวจพบอาจทำให้เว็บไซต์คุณโดนแบนและไม่มีโอกาสติดหน้าแรกการค้นหาอีกเลย

คอนเทนต์ยาวดีกว่าคอนเทนต์สั้น
ความยาวของคอนเทนต์มีส่วนไม่น้อยในการทำให้ติดหน้าแรกการค้นหา เพราะ Search Engine ชอบคอนเทนต์เชิงลึกและตอบโจทย์ความต้องการผู้อ่านได้ ความยาวคอนเทนต์ที่เหมาะสมคือไม่ควรต่ำกว่า 500 คำ หากเป็นไปได้ควรเขียนให้ได้ 1,000-1,500 คำ จะส่งผลดีต่อเว็บไซต์คุณมากยิ่งขึ้น

ใครที่กำลังพยายามผลักดันเว็บไซต์ให้ติดหน้าแรกผลการค้นหา แนะนำให้นำเทคนิคดี ๆ เหล่านี้ไปใช้ ควบคู่กับวิธีอื่น ๆ เพื่อให้การทำ SEO ประสบความสำเร็จรวดเร็วยิ่งขึ้น และอย่าลืมว่าการทำ SEO จำเป็นต้องใช้เวลาและความสม่ำเสมอ เพราะฉะนั้นควรหมั่นอัปเดตคอนเทนต์เป็นประจำเพื่อให้ติดหน้าแรกผลการค้นหาได้รวดเร็วยิ่งขึ้น