ความแตกต่างระหว่าง SEM และ SEO มีข้อดีข้อเสียอย่างไร

ความแตกต่างระหว่าง SEM และ SEO มีข้อดีข้อเสียอย่างไร

การโปรโมทเว็บไซต์เพื่อผลลัพธ์ทางการตลาดออนไลน์ทำได้หลาย SEO และ SEM เป็นเครื่องมือสำคัญที่ได้รับความนิยม เพราะเผยแพร่เนื้อหาเกี่ยวกับแบรนด์ของตัวเองให้รู้จักแพร่หลายมากขึ้น เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดเล็กในแง่เสียค่าใช้จ่ายน้อย ไม่จ่ายค่าโฆษณาราคาแพงเหมือนสื่อการตลาดทั่วไป เหมาะกับแบรนด์ดังในแง่ของความรวดเร็ว ไม่ต้องผ่านการตัดสินใจหลายขั้นตอนตามระเบียบขององค์กรใหญ่ เครื่องมือการตลาดทั้งสองรูปแบบคล้ายกัน จำเป็นต้องเข้าใจความแตกต่างเพื่อให้วางแผนทำตลาดได้ถูกต้อง มาเริ่มทำความรู้จักเพื่อที่จะเลือกนำมาประยุกต์ใช้งานให้เหมาะสมกับธุรกิจของเราเอง

คำว่า SEO ย่อมาจาก “Search Engine Optimization” เป็นวิธีการทำการตลาดออนไลน์ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของเครื่องมือค้นหา เพื่อให้เว็บไซต์ได้รับการจัดอันดับขึ้นไปอยู่หน้าแรก ๆ ของเสิร์ชเอนจินยอดนิยมอย่าง Google หัวใจหลักของการทำ SEO คือการเขียนเนื้อหาบทความที่มีคุณภาพ อ่านง่ายและใส่คีย์เวิร์ดในตำแหน่งเหมาะสม ส่วนใหญ่จำกัดการใช้คีย์เวิร์ดในบทความไม่เกิน 5 คำ เคล็ดลับคือต้องทำการอัปเดตข้อมูลใหม่เป็นประจำทำให้บอทของเครื่องมือค้นหาเก็บข้อมูลเป็นระยะพร้อมทั้งจัดอันดับให้ลูกค้าเห็นเว็บไซต์ของเราก่อนคู่แข่ง

การทำ SEO มีข้อดีอย่างไร

ข้อดีของ SEO คือมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่า เจ้าของธุรกิจหรือเจ้าของเว็บไซต์สามารถทำเองได้ โดยการเขียนคอนเทนต์อธิบายเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการให้ดูน่าสนใจ เนื้อหาบทความควรมีเอกลักษณ์เพื่อให้จดจำได้และส่งผลให้แบรนด์ให้คนรู้จักมากขึ้น ยิ่งมีจำนวนผู้สนใจเข้าเว็บไซต์จำนวนมากจะมีผลต่อการจัดอันดับให้อยู่ในหน้าแรก ๆ ลูกค้าค้นหาเจอได้ง่ายก็เข้าถึงลูกค้าใหม่ได้มากขึ้น เพิ่มจำนวนยอดขายได้ตรงกับเป้าหมายที่วางไว้ แต่ข้อเสียคือเว็บไซต์ต้องใช้คอนเทนต์ที่มีคุณภาพช่วยสร้างความไว้วางใจ อาจต้องจ่ายนักเขียนมืออาชีพที่มีทักษะด้านการเขียนและมีความเชี่ยวชาญในการทำ SEO

ส่วนคำว่า SEM ย่อมาจาก “Search Engine Marketing” เป็นการทำตลาดที่เสียค่าใช้จ่ายเป็นรายคลิก โดยคำนวณจากจำนวนคนที่คลิกเข้ามาในเว็บไซต์ ค่าโฆษณาจะขึ้นหรือลงขึ้นอยู่กับคีย์เวิร์ดที่เลือกว่ามีการแข่งขันสูงหรือไม่ การทำ SEM มีประสิทธิภาพและตรงเป้าหมาย ถ้าต้องจ้างเว็บมาสเตอร์มาทำการตลาดให้ การทำ SEM จะได้ผลลัพธ์คุ้มค่ากว่า ซึ่งหลายคนก็เลือกทำทั้งสองอย่างเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด มีโอกาสโปรโมทแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักเพื่อขายสินค้าและบริการได้มากขึ้น

การทำ SEO มีข้อดีอย่างไร

ข้อดีของการโปรโมทเว็บไซต์แบบ SEM คือการกำหนดคีย์เวิร์ดได้มากและเปลี่ยนได้บ่อยเท่าที่ต้องการ เมื่อลูกค้าค้นหาตรงกับคีย์เวิร์ดที่เรากำหนดไว้ ช่วยให้เห็นเว็บไซต์ง่ายและเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายอย่างรวดเร็ว วิธีนี้ทำโฆษณาง่ายแม้เว็บจะมีไม่กี่หน้า ค่าโฆษณาไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับคีย์เวิร์ดและกระแสการแข่งขัน แต่ช่วยให้นำข้อมูลไปวิเคราะห์ต่อได้ว่าคีย์เวิร์ดแบบไหนให้ผลลัพธ์ที่ดี วิธีการทำ SEM ใช้งบประมาณสูง เพราะคิดค่าใช้จ่ายตามจำนวนคลิก หมายถึงเสียเงินทุกครั้งที่คนคลิกเข้ามาดูในเว็บไซต์ ต้องเสียค่าใช้จ่ายต่อเนื่องจึงจะรักษาอันดับไว้ได้ตลอดเวลา เว็บติดอันดับต้น ๆ ในเสิร์ชเอนจินรวดเร็ว แต่ไม่รับประกันว่าผู้เยี่ยมชมเว็บจะตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการของเราหรือไม่

อย่างไรก็ดี SEO และ SEM เป็นเครื่องมือประเภทหนึ่งเท่านั้น ยังมีกลยุทธ์สำคัญอีกมากมายที่ต้องทำเพื่อต่อยอดโอกาสขายสินค้าและบริการ ทำให้ธุรกิจเอาชนะคู่แข่งได้ในที่สุด

อยากประสบความสำเร็จในธุรกิจตั้งแต่อายุน้อยต้องรู้จัก SEO และ SEM

อยากประสบความสำเร็จในธุรกิจตั้งแต่อายุน้อยต้องรู้จัก SEO และ SEM

การทำธุรกิจในปัจจุบันเป็นที่นิยมอย่างมาก เนื่องจากมีช่องทางที่หลากหลายในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายทั่วโลก โดยเฉพาะเมื่อมีการทำเว็บไซต์ขายสินค้าออนไลน์ที่เชื่อมโยงกันกับผู้ซื้อทั่วโลกได้ด้วยระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตและการสื่อสารยุคใหม่แบบ 5G ที่มีความรวดเร็วตลอด 24 ชั่วโมง

นักศึกษาและผู้ที่เพิ่งเรียนจบใหม่ ที่มีความสนใจอยากทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จและมีเงินเก็บสะสมจำนวนหลายล้านตั้งแต่อายุน้อย ควรต้องทำการต้องศึกษาการทำการตลาดแบบ SEO และ SEM เพื่อทำให้บรรลุเป้าหมายได้ดียิ่งขึ้น

เทคนิคการตลาดแบบ SEO

การทำ SEO หรือ Search Engine Optimization เป็นเทคนิค การตลาด แบบที่ไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายในการซื้อพื้นที่โฆษณา เพียงแต่ต้องมีความสม่ำเสมอในการทำเนื้อหาหรือคอนเทนต์ (Content) บทความที่มีคุณภาพ มีเนื้อหาที่ทันสมัย แนบการอ้างอิงแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ เช่น เว็บไซต์ต่างประเทศ หรือผลงานวิจัย ฯลฯ และที่สำคัญ คือ ต้องไม่มีการละเมิดลิขสิทธิ์โดยการก๊อปปี้บทความ รูปภาพหรือว่าคลิปวิดีโอจากที่อื่นมาใช้ จะทำให้การขายสินค้าและบริการในเว็บไซต์ของคุณนั้นประสบความสำเร็จยิ่งขึ้น เนื่องจากลูกค้าจะให้ความเชื่อถือและอยากกลับมาอ่านข้อมูลและอุดหนุนสินค้าและบริการจากเว็บไซต์คุณซ้ำอีกเรื่อย ๆ

นอกจากนี้ การแลกลิงก์หรือสร้างพันธมิตรทางการค้า เช่น สร้างกลุ่มเพื่อแชร์ข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าออร์แกนิก ที่คุณจำหน่าย เพื่อดึงดูดให้ลูกค้าเข้ามาในกลุ่ม Facebook และช่วยส่งเสริมการขายของหลาย ๆ แบรนด์ที่ร่วมมือกันก็เป็นวิธี SEO ที่เห็นผลดีด้วย

ส่วนการทำ SEM เป็นการใช้พื้นที่ด้านบนของ Search Engine เพื่อการโฆษณา ย่อมาจากคำว่า Search Engine Marketing เป็นการประมูลพื้นที่แข่งกับผู้ที่ใช้ Keyword เดียวกัน ตัวอย่างเช่นคุณทำสถาบันสอนภาษา ซึ่งต้องแข่งขันประมูลคีย์เวิร์ด ว่า สถาบันสอนภาษา กับแบรนด์อื่น ๆ อีก 10-20 รายเทคนิคการตลาดแบบ SEO

ผู้ที่ประมูลในราคาสูงที่สุด ก็จะได้ตำแหน่งที่สูงจากการสืบค้น ซึ่งจะได้รับความเชื่อมั่นจากลูกค้ากลุ่มเป้าหมายมากขึ้น และเมื่อผู้ชมมีการคลิกเข้ามาชมในเว็บไซต์ ตามลิงก์ที่ปรากฏ คุณจะต้องมีค่าใช้จ่ายชำระให้แก่ Search Engine ตามระบบ Pay Per Click การทำ SEM จึงมีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าการทำ SEO เหมาะสำหรับการประชาสัมพันธ์ในโอกาสพิเศษ เช่น เปิดตัวสินค้าใหม่เป็นระยะ การกระตุ้นยอดขายตามแผนรายเดือนรายปี ฯลฯ ทั้งนี้ หากไม่มีข้อจำกัดในเรื่องของค่าใช้จ่าย คุณก็สามารถทำ SEM ควบคู่กับ SEO ได้ตลอดทั้งปีเช่นกัน

จะเห็นได้ว่า ทั้งเทคนิค SEO และ SEM ต่างมีข้อดีข้อเสียในตัวเอง ไม่จำเป็นต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งเสมอไป แต่ก็สามารถที่จะนำมาผสมผสานและปรับใช้กับการขายสินค้าออนไลน์ของทุกประเภทของธุรกิจได้ หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ในการสร้างธุรกิจให้ประสบความสำเร็จได้เร็วยิ่งขึ้นตั้งแต่อายุน้อย